ICT คืออะไร?
ICT หรือ Inner Circle Trader เป็นชื่อในวงการของ Michael J. Huddleston ผู้พัฒนาวิธีการเทรดที่มุ่งเน้นการทำความเข้าใจตลาดจากมุมมองของนักลงทุนสถาบัน หรือ “Smart Money” แนวคิดสำคัญของ ICT คือการวิเคราะห์การเคลื่อนที่ของราคาโดยเน้นที่พฤติกรรมของสถาบันและการบิดเบือนตลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ วิธีการนี้เป็นการรวมกันของการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการให้ความสำคัญกับพฤติกรรมของตลาด เพื่อค้นหาระดับราคาและรูปแบบที่สำคัญซึ่งเป็นสัญญาณของโอกาสในการทำกำไร
ปรัชญาของ ICT นั้นแตกต่างจากวิธีการเทรดแบบดั้งเดิมที่มักอาศัยตัวชี้วัดทางเทคนิคเป็นหลัก โดย ICT จะให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ Price Action และโครงสร้างตลาด (Market Structure) เป็นหลัก แนวคิดนี้พยายามถอดรหัสเจตนาที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคา โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่านักลงทุนสถาบันซึ่งมีเงินทุนมหาศาลนั้นมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อตลาด การทำความเข้าใจกลยุทธ์ของพวกเขาจะช่วยให้นักเทรดรายย่อยสามารถตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น
ผู้ริเริ่มและที่มาของแนวคิด ICT
Michael J. Huddleston คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังแนวคิด ICT เขาได้รับแรงบันดาลใจจากโปรแกรมการศึกษา Inner Circle Workshop ของ Larry Williams Huddleston ได้นำเสนอแนวคิดนี้ต่อสาธารณชน โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อให้นักเทรดรายย่อยสามารถเข้าถึงและเข้าใจกลยุทธ์ที่นักลงทุนสถาบันมักใช้ การที่ ICT ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักเทรดผู้มีประสบการณ์และมีการแบ่งปันความรู้สู่สาธารณะ สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการเทรดระดับสถาบันให้แก่นักเทรดรายย่อย เพื่อให้พวกเขามีเครื่องมือและความเข้าใจที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันในตลาดการเงิน
แนวคิดหลัก: การทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของ “Smart Money”
หัวใจของแนวคิด ICT คือการทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของ “Smart Money” ซึ่งหมายถึงนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และองค์กรการเงินอื่นๆ ที่มีอิทธิพลสูงในตลาด ICT มุ่งวิเคราะห์กลยุทธ์ที่ “Smart Money” ใช้ในการสะสมและกระจายคำสั่งซื้อขาย รวมถึงการสร้างการบิดเบือนราคาเพื่อสร้างสภาพคล่องที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการคำสั่งซื้อขายจำนวนมากของพวกเขา แนวคิดพื้นฐานคือการเทรดตามร่องรอยของ “Smart Money” แทนที่จะกลายเป็นเหยื่อของการบิดเบือนราคาที่พวกเขาสร้างขึ้น การมองตลาดจากมุมมองของสถาบันและการพยายามทำความเข้าใจเจตนาเบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคาถือเป็นรากฐานสำคัญของแนวคิด ICT
หลักการสำคัญของแนวคิดการเทรดแบบ ICT ประกอบด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้:
1. สภาพคล่อง (Liquidity)
2. โครงสร้างตลาด (Market Structure)
3. บล็อกคำสั่งซื้อขาย (Order Blocks)
4. ช่องว่างมูลค่ายุติธรรม (Fair Value Gaps – FVG) และความไม่สมดุล (Imbalances)
5. จุดเข้าซื้อขายที่เหมาะสม (Optimal Trade Entry – OTE) และโซน Premium/Discount
6. ช่วงเวลาสำคัญ (Kill Zones) และการวิเคราะห์ตามเวลา (Time-Based Analysis)
7. การเคลื่อนไหวผลักดันราคา (Displacement) และการล่อลวง (Inducement)
1. สภาพคล่อง (Liquidity)
สภาพคล่องเป็นแนวคิดที่สำคัญที่สุดใน ICT โดยมีความเชื่อว่าตลาดจะเคลื่อนที่ไปยังบริเวณที่มีคำสั่งซื้อขายหนาแน่น ใน ICT สภาพคล่องแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่:
Buy-side Liquidity (BSL): คือระดับราคาที่นักเทรดซึ่งเปิดสถานะขาย (Short) มักตั้งคำสั่ง Stop-Loss ไว้ หรือเป็นบริเวณที่ผู้ซื้อสนใจเข้าซื้อเมื่อราคาสามารถทะลุแนวต้านสำคัญขึ้นไปได้
Sell-side Liquidity (SSL): คือระดับราคาที่นักเทรดซึ่งเปิดสถานะซื้อ (Long) มักตั้งคำสั่ง Stop-Loss ไว้ หรือเป็นบริเวณที่ผู้ขายสนใจเข้าขายเมื่อราคาสามารถทะลุแนวรับสำคัญลงไปได้
นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดเรื่อง Liquidity Inducement ซึ่งหมายถึงการที่ราคาเคลื่อนที่ไปกระตุ้นสภาพคล่องที่ระดับ BSL หรือ SSL ก่อนที่จะกลับทิศทางตรงกันข้าม นักลงทุนสถาบันมักตั้งเป้าหมายไปยังบริเวณที่เรียกว่า Liquidity Pools ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคำสั่งซื้อขายจำนวนมาก เพื่อดำเนินการคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่ของตนเองโดยให้มี Slippage น้อยที่สุด
การเข้าใจว่าสภาพคล่องอยู่บริเวณใดและตลาดมีแนวโน้มจะเคลื่อนที่ไปหาสภาพคล่องนั้นเป็นกุญแจสำคัญในการเทรดแบบ ICT

Buy-side Liquidity (BSL)

Sell-side Liquidity (SSL)
2. โครงสร้างตลาด (Market Structure)

การวิเคราะห์โครงสร้างตลาดเป็นอีกหนึ่งหลักการที่สำคัญของ ICT ซึ่งช่วยในการทำความเข้าใจแนวโน้มและจุดที่อาจเกิดการกลับตัวของราคา ใน ICT มีการนิยามโครงสร้างตลาดดังนี้
โครงสร้างขาขึ้น (Bullish Structure): ราคาเคลื่อนตัวสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Highs – HH) และจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้น (Higher Lows – HL) อย่างต่อเนื่อง
โครงสร้างขาลง (Bearish Structure): ราคาเคลื่อนตัวสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Highs – LH) และจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำลง (Lower Lows – LL) อย่างต่อเนื่อง
Break of Structure (BOS): เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่าน Swing High หรือ Swing Low ก่อนหน้าได้ ซึ่งเป็นการยืนยันการดำเนินต่อไปของแนวโน้มปัจจุบัน

Break of Structure

Break of Structure บนกราฟจริง
Change of Character (ChoCH): เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเคลื่อนที่ของราคาอย่างชัดเจน ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการเริ่มต้นของการกลับตัวของแนวโน้ม


Market Structure Shift (MSS): คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดที่สำคัญ โดยราคาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและทะลุผ่านระดับโครงสร้างที่สำคัญ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่แข็งแกร่ง
นักเทรด ICT ให้ความสำคัญกับการระบุการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างตลาดในกรอบเวลา (Timeframe) ต่างๆ เพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาที่มีความเป็นไปได้สูง
3. บล็อกคำสั่งซื้อขาย (Order Blocks)
Order Blocks (OB) คือบริเวณบนกราฟราคาที่คาดว่ามีคำสั่งซื้อขายจำนวนมากของนักลงทุนสถาบันตั้งอยู่ บริเวณเหล่านี้มักเป็นแท่งเทียนสุดท้ายก่อนที่จะเกิดการเคลื่อนไหวของราคาอย่างมีนัยสำคัญในทิศทางตรงกันข้าม Order Blocks สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านในอนาคตได้ เนื่องจากเป็นบริเวณที่สถาบันอาจเข้ามาป้องกันสถานะเดิมหรือเพิ่มสถานะใหม่
นอกเหนือจาก Order Blocks ทั่วไป ยังมีแนวคิดของ Breaker Blocks ซึ่งคือ Order Blocks ที่ถูกทะลุผ่านและเปลี่ยนหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านใหม่ และ Mitigation Blocks ซึ่งคล้ายกับ Breaker Blocks แต่เกิดขึ้นหลังจากที่ราคาพยายามจะทะลุผ่าน Swing High หรือ Swing Low ก่อนหน้าแต่ไม่สำเร็จ
การระบุ Order Blocks ที่มีความน่าจะเป็นสูงเป็นสิ่งสำคัญในการเทรดแบบ ICT เพื่อค้นหาจุดเข้าเทรดที่มีความเสี่ยงต่ำและมีโอกาสทำกำไรสูง


4. ช่องว่างมูลค่ายุติธรรม (Fair Value Gaps – FVG) และความไม่สมดุล (Imbalances)

Fair Value Gap (FVG) คือช่องว่างของราคาที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นในช่วงราคานั้น FVG มักประกอบด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง โดยที่ไส้ของแท่งเทียนที่ 1 และ 3 จะไม่คาบเกี่ยวตัวแท่งเทียนที่ 2 ช่องว่างนี้บ่งบอกถึงความไม่สมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขายในตลาด และเชื่อกันว่าราคาอาจจะกลับมาเติมเต็มช่องว่างเหล่านี้ในอนาคต

นอกจาก FVG ทั่วไปแล้ว ยังมีแนวคิดของ Inverted Fair Value Gap (IFVG) ซึ่งคือ FVG ที่ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านได้ และราคาได้ทะลุผ่านไป ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้ม

การระบุ FVGs ช่วยให้นักเทรด ICT สามารถมองหาบริเวณที่ราคาอาจกลับมาให้ความสนใจในอนาคต และใช้เป็นจุดเข้าเทรดหรือตั้งเป้าหมายราคาได้
5. จุดเข้าซื้อขายที่เหมาะสม (Optimal Trade Entry – OTE) และโซน Premium/Discount

Optimal Trade Entry (OTE) คือจุดเข้าเทรดที่ดีที่สุด ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ในช่วงระดับ Fibonacci Retracement ระหว่าง 61.8% และ 78.6% ของช่วงราคาที่เกิดจากการเคลื่อนไหวแบบ Displacement ในการระบุ OTE นักเทรด ICT มักจะพิจารณาถึงโซน Premium และ Discount ด้วย โดย
Premium Zone: คือบริเวณที่ราคาสูงกว่า 50% ของช่วงราคาล่าสุด ซึ่งถือเป็นโซนที่เหมาะสำหรับการขาย

Discount Zone: คือบริเวณที่ราคาต่ำกว่า 50% ของช่วงราคาล่าสุด ซึ่งถือเป็นโซนที่เหมาะสำหรับการซื้อ

หลักการคือการมองหาโอกาสซื้อในราคา Discount และขายในราคา Premium โดยให้สอดคล้องกับแนวโน้มหลักของตลาด
6. ช่วงเวลาสำคัญ (Kill Zones) และการวิเคราะห์ตามเวลา (Time-Based Analysis)

Kill Zones คือช่วงเวลาที่กำหนดในแต่ละวันซึ่งมีความผันผวนและสภาพคล่องสูง โดยมักเกิดขึ้นในช่วงเปิดหรือปิดของตลาดหลัก เช่น London Open, New York Open และ Asian Session นักเทรด ICT ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ Price Action ในช่วงเวลาเหล่านี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่นักลงทุนสถาบันมักจะมีส่วนร่วมในตลาดมากที่สุด
ช่วงเวลา (Kill Zones) ที่สำคัญของ ICT Concept แบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลัก
1. London Kill Zone (07:00 – 10:00 UTC / 14:00 – 17:00 ไทย): เป็นช่วงเปิดตลาดลอนดอน มีสภาพคล่องสูงและเกิดการเคลื่อนไหวของราคา เหมาะสำหรับการมองหา Liquidity Grab และ Break of Structure (BoS)
2. New York Kill Zone (12:00 – 15:00 UTC / 19:00 – 22:00 ไทย): เป็นช่วงที่ตลาดนิวยอร์กเปิดและตลาดลอนดอนยังคงเปิดอยู่ ช่วงนี้ Smart Money มักปล่อยคำสั่งซื้อขายจำนวนมาก เหมาะกับการหา Reversal Setup หรือ Continuation Setup [cite: 7]
3. New York PM Session (18:00 – 20:00 UTC / 01:00 – 03:00 ไทย): เป็นช่วงปลายของตลาดนิวยอร์ก มักจะเห็นการปรับสมดุลของราคา หรือการเกิด Order Block ใหม่ [cite: 7]
การทำความเข้าใจช่วงเวลา Kill Zones ช่วยให้นักเทรด ICT สามารถมุ่งเน้นไปยังช่วงเวลาที่มีโอกาสในการเทรดสูงที่สุด
7. การเคลื่อนไหวผลักดันราคา (Displacement) และการล่อลวง (Inducement)
Displacement คือการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็วและมีพลังขับเคลื่อนสูง ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากการดึงสภาพคล่องออกจากตลาด การเคลื่อนไหวแบบ Displacement มักแสดงออกเป็นแท่งเทียนยาวต่อเนื่องกัน โดยมีไส้เทียนสั้นๆ ซึ่งบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของแรงซื้อหรือแรงขาย

ในทางตรงกันข้าม Inducement คือการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางตรงข้ามกับแนวโน้มหลักในระยะสั้น เพื่อดึงดูดนักเทรดรายย่อยให้เข้าเทรดผิดทิศทาง ก่อนที่ราคาจะกลับตัวไปในทิศทางของแนวโน้มหลัก Inducement มักเกิดขึ้นที่จุดสูงสุดหรือต่ำสุดของแนวโน้มย่อยที่สวนทาง (Mini-Counter-Trends)

การระบุ Displacement และ Inducement ช่วยให้นักเทรด ICT สามารถเข้าใจเจตนาของ “Smart Money” และหลีกเลี่ยงการติดกับในการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่เป็นไปตามแนวโน้มหลัก
Leave a Comment